หมวดหมู่: บทวิเคราะห์
FSS
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
 
กลยุทธ์วันนี้ >> Domestic, Defensive and Dividend Play//Accumulate on Dip
          ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวลงแรงต่อเนื่องโดยปิดลบอีก 30.41 จุดจากนักลงทุนทั่วโลกที่ขายสินทรัพย์เสี่ยงและถือสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้นทั้งจากประเด็นสงครามการค้า การประท้วงในฮ่องกง รวมถึงความกังวลเรื่องผิดนัดชำระหนี้ของอาร์เจนตินา ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องอีก 3.4 พันลบ. (และพลิกมา Short Index Future 1.4 หมื่นสัญญา) ขณะที่สถาบันในประเทศขายสุทธิเช่นกัน 839 ลบ.
          แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET Index จะเกิด Technical Rebound ได้จากแนวรับบริเวณ 1,620 จุดโดยมีแรงหนุนจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนทางโทรศัพท์ซึ่งล่าสุดสหรัฐฯเลื่อนการขึ้นภาษีสินค้าจีนหลายรายการออกไปเป็นวันที่ 15 ธ.ค.จากเดิมวันที่ 1 ก.ย. ทำให้ตลาดคลายกังวลลงบ้างแต่ยังคงต้องติดตามพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ Valuation ของ SET Index เริ่มอยู่ในโซนที่ไม่แพงโดย Earning Yield Gap ปัจจุบันอยู่ที่ราว 5% ซึ่งมักจะเกิดการกลับตัว จึงมองว่า Downside จำกัดและยังมองจังหวะอ่อนตัวของดัชนีเป็นจังหวะในการสะสมหุ้นพื้นฐานโดยเน้น Domestic Play เป็นหลัก
          กลยุทธ์ : ยังเน้นพักเงินในหุ้น Domestic Defensive และ Dividend Play//ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานในช่วงดัชนีปรับฐาน
          หุ้นเด่นเดือน ส.ค. :  AMATA, BCH, MINT, SAPPE, SISB
 
หุ้นเด่นวันนี้: TACC
          - แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 6 บาท
          - กำไรดีกว่าคาดและทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 43 ลบ. +30% Q-Q, +105% Y-Y จากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีกว่าคาด เป็น 31.1% จาก 29.6% ใน 1Q19 และ 29.4% ใน 2Q18 เพราะ product mix ที่ดีและมี economy of scale จากเครื่องดื่มที่ขายดีทุกช่องทาง
          - กำไร 1H19 +90% Y-Y คิดเป็น 53% ของกำไรทั้งปีที่คาด 143 ลบ. +109% Y-Y แนวโน้ม 2H19 ยังโตต่อ บริษัทจ่ายปันผล 0.10 บ/หุ้น (yield 2.2%) XD 26 ส.ค.       
          Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$678ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากเกาหลีใต้ US$203ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลออก US$110ล้าน ไม่มีประเทศที่มีเม็ดเงินไหลเข้า แนวโน้มของกระแสเงินทุนมีทิศทางพลิกไหลเข้าภูมิภาค หลังสหรัฐยืดเวลาการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนออกไป
 
ประเด็นสำคัญวันนี้
          (-) กำไรปกติของบจ.เท่าที่รายงาน น่าผิดหวัง ต่ำกว่าที่เราคาด 5% เป็นกำไรปกติที่ลดลง 4% Q-Q และ 16% Y-Y เหลือ 1.64 แสนลบ. กลุ่มที่กำไรหดตัวแรงได้แก่ อสังหาฯ (-44% Q-Q, -41% Y-Y) พลังงานและปิโตรเคมี (-18% Q-Q,     -47% Y-Y)  อิเล็คทรอนิคส์ (+2% Q-Q, -32% Y-Y) ยานยนต์ (-20% Q-Q, -2% Y-Y) โรงพยาบาล (-31% Q-Q, -9% Y-Y ฉุดโดยรพ.ใหญ่ BH, BDMS แต่ EKH ดีกว่าคาด) และสายการบินที่ขาดทุนเพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มที่กำไรโตดีได้แก่ โรงไฟฟ้า      (+13% Q-Q, +16% Y-Y) แต่ตามคาด สื่อสาร (+8% Q-Q, +13% Y-Y) แต่เซอร์ไพรส์โดยเฉพาะกลุ่มมือถือ กลุ่มอาหาร (+24% Q-Q, +50% Y-Y) แต่หุ้นเต็มมูลค่า และค้าปลีก (-6% Q-Q, +12% Y-Y) ส่วนใหญ่ upside จำกัด
          (-) กลุ่มโรงแรม โรงแรมในประเทศยังค่อนข้างเหนื่อยเพราะนักท่องเที่ยวฟื้นช้า กำไรปกติของ CENTEL -61% Q-Q, -22% Y-Y เหลือ 290 ลบ. ต่ำกว่าเราและตลาดคาด 8% และ 15% ตามลำดับ เราปรับกำไรทั้งปีลง 5% หดตัว 10% Y-Y เหลือ 1.95 พันลบ. ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 35 บาทจาก 40 บาท แนะนำถือตามเดิม ส่วนโรงแรมในต่างประเทศดี กำไรปกติของ MINT โตแรงแต่ตามคาด +232% Q-Q, +142% Y-Y เป็น 2.1 พันลบ. ใน 3Q19 จะมีกำไรขาย Tivoli 3 แห่งราว 2.1 พันลบ. เราปรับกำไรทั้งปีลง 6% เป็น 6.51 พันลบ. +9% Y-Y เพราะผลของค่าเงิน ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 44 บาทและยังเป็น Top pick ของกลุ่ม 
          (-) กลุ่มอิเล็คทรอนิคส์ย่ำแย่ กำไรปกติทั้งกลุ่ม -2% Q-Q, -32% Y-Y KCE มีกำไรต่ำกว่าคาดที่สุดและแย่สุดในกลุ่ม -15% Q-Q, -60% Y-Y เหลือ 211 ลบ. กำไรครึ่งปีแรก -51% Y-Y ถูกกระทบจากบาทแข็งและยอดขายรถในยุโรปไม่ฟื้น เรายังไม่เห็นการฟื้นตัว แนะนำหลีกเลี่ยงตามเดิม SVI ที่ดูดีสุดเพราะไม่ถูกกระทบจากสงครามการค้า แต่ก็ถูกกระทบจากบาทแข็ง หลีกเลี่ยงทั้งกลุ่ม
 
          (+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 372.54 จุด ปิดที่ 26,279.91 จุด หลังรัฐบาลสหรัฐประกาศชะลอการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
          (+) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก ได้แรงหนุนจากการที่รัฐบาลสหรัฐประกาศเลื่อนการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนออกไปเป็นวันที่ 15 ธ.ค.
          (+) ตลาดเอเชียปรับขึ้น ท่ามกลางนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามระหว่างสหรัฐและจีน
          (0) ค่าเงินบาทแกว่งในกรอบแคบ ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 30.80 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ 
          (+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 2.17 ดอลลาร์ ปิดที่ 57.10 ดอลลาร์/บาร์เรล เป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ จากการคลายความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) มีกำหนดเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว               
          (-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 3.1 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,514.10  ดอลลาร์/ออนซ์ หลังนักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้น รวมถึงการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ 
 
          SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 836.67  / -11.1 ตัน
 
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
14 ส.ค.   - ยูโรโซน: 2Q19 GDP
15 ส.ค.   - ไทย: วันสุดท้ายของการส่งงบการเงินให้ตลาดฯ
          - อินโดนีเซีย: ส่งออก-นำเข้า (ก.ค.)
          - สหรัฐ: ยอดค้าปลีก (ก.ค.)
16 ส.ค.   - ฮ่องกง: 2Q19 GDP
19 ส.ค.   - ไทย: GDP 2Q19, ยอดขายรถ (ก.ค.)
21 ส.ค.   - ไทย: ส่งออก-นำเข้า (ก.ค.)
 
          Contact person : Jitra  Amornthum  Register : 014530
          Contact person : Veeravat Virochpoka Register : 047077
          www.fnsyrus.com
          FB: Finansia Syrus Research

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!