หมวดหมู่: บทวิเคราะห์
Asia Plus Group Holding
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
 
กลยุทธ์การลงทุน    
วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2562
การประกาศตัวเลข GDP Growth งวด 2Q62 ที่ 2.3% น่าจะเป็นแรงกระตุ้นให้ภาครัฐต้องเร่งระดมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติม และเป็นการเพิ่มโอกาสที่จะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยลงมาอีกรอบหนึ่ง ส่วนประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนปี 2562 อาจมี Downside ราว 2-3% จากตัวเลข EPS เดิมที่ 103.3 บาท/หุ้น Top Picks วันนี้เลือก TASCO (This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.), FPT (This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.) และเพิ่ม BCH (FV@B21
    SET Index    1,637.26
    เปลี่ยนแปลง (จุด)    5.86
    มูลค่าการซื้อขาย (ล้านบาท)    57,927
            
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย …แกว่งผันผวนในกรอบแคบ
วานนี้ ตลาดหุ้นไทยแกว่งผันผวนในกรอบแคบตลอดวันหลังจากที่เปิดโดดกว่า 8 จุดจากการที่ตลาดฯคลายความกังวลในประเด็นต่างประเทศ รวมถึงความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ จนสุดท้ายปิดที่ระดับ 1637.26 จุด เพิ่มขึ้น 5.86 จุด (+0.36%) มูลค่าการซื้อขาย 5.79 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่มที่หนุนตลาด คือ กลุ่มขนส่งเช่น AOT(+1.42%) BEM(+4.67%) BTS(+4.03%) กลุ่มธ.พ.เช่น KBANK(+2.22%) SCB(+2.420%) และกลุ่มพลังงานเช่น PTT(+1.17%) GPSC(+2.18%)  RATCH(+1.49%) TOP(+1.16%)  รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่เช่น SCC(+0.49%) PTTGC(+2.86%) และ WORK(+6.99%) เป็นต้น 
 
GDP Growth งวด 2Q62 ที่ต่ำเพียง 2.3% กดดันให้ภาพรวมงวด 1H62 เติบโตเพียง 2.6% ซึ่งต่ำกว่าประมาณการการเติบโตปี 2562 ที่ฝ่ายวิจัย ASPS ทำไว้ที่ 2.7% และหากจะทำให้การเติบโตเป็นไปอย่างที่คาดก็จะต้องเห็น GDP Growth ในงวด 3Q-4Q62 เติบโตในอัตรา 2.7 – 2.8% ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก ทั้งนี้ประเมินจากแรงขับเคลื่อนที่ยังอ่อนกำลัง เฉพาะอย่างยิ่งในภาคการส่งออกที่มีแรงกดดันจากสถานการณ์สงครามการค้า ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. วันนี้ก็อาจจะเริ่มเห็นผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจได้ในช่วง 4Q62 ภายใต้สภาพแวดล้อมดังกล่าวอาจทำให้มีความจำเป็นต้องระดมมาตการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้ามาเพิ่มเติมอีกชุดหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นเรื่องของ มาตรการที่เกี่ยวข้องกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่ว่าจะเป็น ช็อปช่วยชาติ หรือ การปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นอกจากนี้ยังอาจเห็นการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มเติม ผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งหนึ่ง สำหรับแนวโน้มการเคลื่อนไหวของ SET Index ฝ่ายวิจัยประเมินว่าน่าจะอยู่ในภาวะผันผวน โดย Upside จะจำกัดอยู่ที่บริเวณ 1650 จุด โดยประเด็นที่อาจเข้ามาสร้างแรงกดดันอีกตัวหนึ่งได้แก่การปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียน หลังในงวด 1H62 ทำได้ต่ำกว่าคาด ซึ่งในเบื้องต้นประเมิน Downside ไว้ราว 2-3% ส่วนกลยุทธ์การลงทุนวันนี้ฝ่ายวิจัยทำการปรับพอร์ตการลงทุนโดยให้ขายทำกำไร JASIF ซึ่งมีน้ำหนัก 10% ออกไป และ ย้ายเงินเข้าลงทุนใน BCH ซึ่งฝ่ายวิจัยเลือกเป็น Top Pick วันนี้แทน
 
เศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอ หนุนให้จีนและเยอรมันเดินหน้ากระตุ้น 
ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่ยังคงมีอยู่ ทั้ง 2 ฝั่งขึ้นภาษีนำเข้า 3 รอบ  และประเด็น Tech war ระหว่างสหรัฐกับจีน  แม้ช่วงสั้นจะผ่อนคลายคือ วานนี้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้ต่อใบอนุญาตออกไปอีก 90 วัน ให้บริษัท Huawei (ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมอันดับ 1 ของโลกสัญชาติจีน) ส่งผลให้ Huawei ยังสมารถทำธุรกิจกับบริษัทสหรัญต่อไปได้จนถึงประมาณวันที่ 18 พ.ย. 2562) หลังจากก่อนหน้านี้ Huawei ถูกขึ้นบัญชีดำ (Entity List) ที่ห้ามทำธุรกิจกับบริษัทสหรัฐ 
อย่างไรก็ตาม แต่สหรัฐได้เพิ่มรายชื่อบริษัทย่อยของ Huawei จำนวน 46 บริษัท เข้าไปใน Entity List ซึ่งยังถือเป็นความเสี่ยงต่อบริษัทเทคโนโลยีในจีน  
 
โดยรวมส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลง และหนุนให้และประเทศต่างๆทั่วโลก หันมาเร่งออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการเงินและการคลัง   อาทิ 
 
เยอรมนี คือ วานนี้รัฐมนตรีการคลังประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังเพิ่มเติม วงเงินราว 5หมื่นล้านยูโร เพื่อรองรับเยอรมนีอาจประสบปัญหา Recession ในช่วง 2H62  หลังจากธนาคารกลางเยอรมนีออกรายงานประจำเดือน  คาด GDP Growth 3Q62 ยังมีโอกาสหดตัว qoq จากภาคส่งออก และภาคอุตสหากรรมที่ชะลอตัว  
 
จีนได้รับผลกระทบของสงครามการค้า  โดยวันนี้ธนาคารกลางจีน (PBOC)  ตลาดคาดจะประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Loan Prime Rate (LPR) ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4.31%  หรือ สินเชื่อเงินกู้ให้กับลุกค้าชั้นดี คล้ายกับ MLR เพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจของจีน 
GDP Growth ไทย 2Q62 ต่ำคาดและต่ำสุดในรอบ 5 ปี 
 
สภาพัฒน์ฯรายงาน GDP Growth งวด 2Q62 ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ที่2.3%yoy ต่ำสุดในรอบ 4 ปี 9 เดือน และต่ำกว่า  ASPS คาดที่ 2.7%   สาเหตุที่ GDP งวดนี้ต่ำกว่าคาดเนื่องจากเกือบทุกตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจชะลอตัวลง (รายละเอียดดังรูป)  แต่หลักๆ คือ ภาคส่งออก (ราว 68%ของ GDP) ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าที่รุนแรง เห็นได้จากส่งออกงวด 2Q62 (หน่วยดอลลาร์) หดตัวเฉลี่ย 3.8%yoy และในหน่วยบาทสูงถึงหดตัว 6.1% จากเงินบาทต่อดอลลาร์ที่แข็งค่าเฉลี่ยราว 1.2%yoy ในงวด 2Q62 และจากการใช้จ่ายภาครัฐ(G) ขยายตัว 1.1% ลดลงจาก 1Q62 ที่ 3.4% จากการเบิกจ่ายที่ลดลงเนื่องจากเป็นไตรมาสที่การจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า 
ยกเว้นเพียงลงทุนภาครัฐที่พลิกกลับมาขยายตัว 1.4% หลังจากหดตัว 0.1% ในงวดก่อนจากการเร่งเบิกจ่ายเพื่อการก่อสร้าง อาทิ รถไฟสายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี, รถไฟทางคู่ชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น  โดยรวมทำให้ GDP Growth ไทยเฉลี่ย 1H62 ขยายตัวเฉลี่ย  2.6% 
 
 
โดย ASPS ประเมินว่า GDP Growth ปี 2562 มีความท้าทายอย่างมากหากจะให้ขยายตัวเกิน 3% (โดยฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการณ์ GDP ที่  2.7%ที่เดิม และคาดงวด 3Q-4Q62 จะต้องขยายตัวเฉลี่ยอย่างต่ำราว  2.7-2.8%)  
โดยปัจจัยที่ท้าทายในช่วง  2H62  ยังคงให้น้ำหนัก คือ  ภาคส่งออกที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัวจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ชะลอลง โดยเฉพาะจีน  เนื่องจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีนที่ยังยืดเยื้อและ มีโอกาสที่จีนจะถูกสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้ารอบที่ 4 วงเงิน  1.1 แสนล้านเหรียญฯในวันที่ 1 ก.ย. และเงินบาทที่แข็งค่า    และงวด 4Q62 ปีนี้จะได้รับผลกระทบจาก  งบประมาณภาครัฐล่าช้า   โดยเฉพาะงบลงทุนที่ยังไม่มีการก่อนหนี้ผูกผัน  (สศค. ประเมิน เม็ดเงินที่จะหายไปจากระบบเศรษฐกิจราว 7-8 หมื่นล้านบาท หรือราว 0.56% ของ GDP ปี 2561)   
 
รัฐบาลและ ธปท. เชื่อว่าจะเร่งออกมาตรการกระตุ้นทั้งการคลังและการเงิน 
ปัจจัยท้าท้ายต่อเศรษฐกิจไทยในช่วง 2H62 ดังกล่าวข้างต้น  ทำให้เชื่อว่ารัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย จะต้องเร่งเดินหน้าออกมาตรการทั้งการเงินและการคลังเพิ่มเติมที่มากกว่าปัจจุบันที่ทำอยู่เพื่อพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ชะลอลง  ดังนี้ 
 
มาตรการกระตุ้นของภาครัฐ  ดังที่นำเสนอใน market talk เมื่อวานนี้ ครม.เศรษฐกิจอนุมัติมาตรการวงเงิน 3.16 แสนล้านบาท  ซึ่งจะเสนอให้ ครม. อนุมัติวันนี้ คือมุ่งไปที่ 3 กลุ่มคือ การบริโภคครัวเรือน  ท่องเที่ยว และ การลงทุนเอกชน
 
 
อย่างไรก็ตามเม็ดเงินจากมาตรการดังกล่าว ที่คาดว่าจะอัดฉีดเข้าไประบบเศรษฐกิจได้ทันทีจากวงเงินทั้งหมด  3.1 แสนล้านบาท เชื่อว่าจะมีเพียงราว 3-4 หมื่นล้านบาท (หรือ  0.25% ของ GDP ไทย ปี 2561ที่อยู่ราว  16.3 ล้านล้านบาท)  อาทิ  มาตรการเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการเป็น 1,000 บาท จาก 500 บาท,  อัดฉีดเงิน 1,000 บาทท่องเที่ยวที่มิใช่ภูมิลำเนา เป็นต้น      ซึ่งไม่น่าเพียงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 2H62      โดย ASPS คาดว่ารัฐบาลจะต้องเร่งออกมาตรการอื่น อาทิ ช็อปช่วยชาติ, การลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลง 10% (กำลังพิจารณา)  เป็นต้น
 
เชื่อว่ามีโอกาสที่ กนง. อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเป็นครั้งที่ 2 ของปีนี้ราว 25 bps   (หลังจาก ต้นเดือน ส.ค. ลดครั้งแรกในรอบ 4 ปี 5 เดือน จาก 1.75% เป็น 1.5%) ทำให้ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่และ ธนาคารของรัฐทยอยปรับลดลง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้  MOR และ MRR  ดังที่นำเสนอใน market talk 15 ส.ค. 
 
ตลาดหุ้นอยู่ในโหมดผันผวน ชอบหุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว BCH, TASCO, FPT 
ตลาดหุ้นโลกเริ่มฟื้นตัวจากการปรับฐานแรง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย ที่เดือน ส.ค. 62 ปรับฐานลงมาทำจดต่ำสุด ณ 15 ส.ค. 62 ลดลงถึง 121 จุด หรือ 7.1% ก่อนจะฟื้นกลับมา 46 จุด เหลือลบ 74 จุด หรือ 4.4% (mtd) อยู่ที่ 1637.26 จุด เป็นปรับตัวลดลงเช่นเดียวกับตลาดหุ้นสำคัญๆของโลก ยกเว้นตลาดหุ้นเซียงไฮ้ของจีนเพียงแห่งเดียวที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกเล็กน้อย 0.04%(mtd)
 
 
ในช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยยังขาดแรงขับเคลื่อนจาก Fund Flow ที่ไหลออกในเดือน ส.ค. กว่า 4.4 หมื่นล้านบาท (เป็นเดือนที่ขายสุทธิมากสุดในปี 2562) และต่อจากนี้ต้องเผชิญกับอีกหลายบททดสอบ ทั้งตัวเลข GDP ไทย งวด 2Q62 ที่ออกมาต่ำกว่าคาด อยู่ที่ 2.3% และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐน่าจะเข้ามาช่วยหนุนเร็วสุดได้ในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ส่งผลให้ GDP ไทยมีโอกาสชะลอลงใน ไตรมาสถัดไป รวมถึงความกังวลเศรษฐกิจโลกมีโอกาสชะลอตัวลง สังเกตได้จากหลายๆ ประเทศเริ่มใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ทั้งจีนและเยอรมนี (ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น)
สภาวะความไม่แน่นอนดังกล่าว กลยุทธ์ในการลงทุนเน้นหุ้น Domestic ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ชอบ BCH, TASCO และ FPT มีปัจจัยสนับสนุนทางพื้นฐานดังนี้
BCH (FV@B 21.00) จากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นบวกต่อธุรกิจของ BCH มากขึ้น โดยเชื่อว่า World Medical Hospital (WMC) จะกลับมามีกำไรโดนเด่นอีกครั้ง เพราะเข้าสู่ช่วง High Season รวมทั้งปัจจุบันขยายศูนย์แผลเบาหวาน OPD ได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว รวมถึงหมอแม่เหล็กจะให้เวลาทำงานร่วมกับ WMC เพิ่มขึ้น จึงช่วยผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มในอนาคตของ WMC ได้ ขณะที่กลุ่มประกันสังคมก็เริ่มเห็นสัญญาณบวกชัดเจนขึ้น โดย 3Q62 มีโอกาสรับเงินเพิ่ม จากที่บันทึกบัญชีน้อยกว่าที่ได้รับจริงอีกราว 50-60 ล้านบาท รวมถึงยังมีโอกาสที่สำนักงานประกันสังคมปรับเพิ่มงบประมาณค่าบริการในปี 2563 อีก 10 - 15% ตามข้อเสนอของสมาคมฯ หนุนกำไรเพิ่มขึ้นได้ราว 20%  ภาพรวมจากสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน ขณะที่ราคาหุ้นยังมี Upside สูงถึง 34% จากมูลค่าพื้นฐานที่ 21 บาท จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุน
TASCO( FV@B 22.50) แม้แนวโน้มกำไร 2H62 จะอ่อนตัวลงเทียบกับ 1H62 จากตลาดในประเทศที่ได้รับผลจากการจัดทำงบประมาณแผ่นดินประจำปี 2563 ที่ล่าช้า แต่ทิศทางราคายางมะตอยที่เริ่มขยับขึ้นอีกครั้งในเดือน ก.ค. ประกอบกับเงินสินไหมประกันภัยที่คาดว่าจะได้รับเข้ามาอีกก้อนหนึ่งใน 4Q62 ทำให้ฐานกำไรครึ่งปีหลังยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ  ขณะที่มุมมองธุรกิจยางมะตอยในระยะยาวเป็นบวก จากมาตรฐานสิ่งแวดล้อมขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO2020) ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 63 ทำให้เกิดการ Upgrade โรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งในภูมิภาคเอเชีย ส่งผลให้มีปริมาณยางมะตอยออกสู่ตลาดน้อยลง ถือเป็นอีกปัจจัยบวกสำคัญที่ช่วยหนุนราคายางมะตอย เชื่อราคาหุ้น TASCO เพิ่งเริ่มฟื้นตัว (หลังสะท้อนมุมมองเชิงลบต่อผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังไปแล้ว) โดยมี Upside เปิดกว้างถึง 22.3% จาก Fair value ที่ 22.50 บาท ยังจูงใจให้น่าลงทุน
และยังชื่นชอบ  FPT (This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.) จากภาพธุรกิจที่ชัดเจนขึ้นหลังการซื้อ GOLD สำร็จ บวกกับธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพเป็นรูปธรรมมากขึ้น
 
ภรณี ทองเย็น, CISA 
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน, ปัจจัยทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม, 
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน, ปัจจัยทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
 ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
   ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
ภวัต ภัทราพงศ์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!