วิทยากร เผยเบื้องหลัง นบข.เคาะไร่ละพัน ใช้งบคงเหลือ มีเงื่อนไขดันชาวนาปลูกพืชอื่น
วิทยากร เผยเบื้องหลัง นบข. เคาะไร่ละพัน ช่วยชาวนา เหตุมีเกษตรกรที่ต้องช่วยไม่มาก ใช้เงิน 2.8 พันล้าน ไม่กระทบภาระงบประมาณ เพราะใช้เงินคงเหลือจากมาตรการนาปี แต่หากใช้มาตรการฝากเก็บ หวั่นเกษตรกรไม่มาไถ่ถอน จะเป็นภาระในอนาคต ระบุยังมีเงื่อนไขลดปลูกข้าวนาปรัง ปลูกพืชชนิดอื่นแทน หากยังต้องการปลูกต้องใช้ข้าวพันธุ์ดี ส่วนการขึ้นทะเบียนล่าสุดมี 2.3 แสนครัวเรือน 4 ล้านไร่ แจ้งผู้ตกค้างรีบขึ้นทะเบียนก่อน 30 เม.ย.
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ได้มีนำเสนอมาตรการดูแลราคาข้าวเปลือกเจ้านาปรัง ปีการผลิต 2568 หลายมาตรการ ทั้งมาตรการที่ผ่านการพิจารณาของคณะอนุ นบข.ด้านการตลาด อนุ นบข.ด้านการผลิต และข้อเสนอของเกษตรกร แต่สุดท้ายออกมามาตรการเดียว
คือ การจ่ายเงินชดเชยเกษตรกรโดยตรงไร่ละ 1,000 บาท คนละไม่เกิน 10 ไร่ วงเงินงบประมาณ 2,867.23 ล้านบาท เพราะเป็นมาตรการที่ช่วยเหลือเกษตรกรได้ทันที และไม่กระทบการใช้งบประมาณ เพราะมีวงเงินจากมาตรการข้าวนาปี 4.7 หมื่นล้าน ที่เหลือประมาณ 4 พันล้านบาท และต้องส่งคืน สามารถขอนำกลับมาใช้ได้
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณางบประมาณในการดูแลสินค้าเกษตร พบว่า ปี 2565-66 มีการใช้งบประมาณสูงถึงปีละ 1.7 แสนล้านบาท พอรัฐบาลชุดนี้เข้ามา ปี 2566-67 ได้ปรับลดงบประมาณดูแล เหลือใช้เพียง 6.5 หมื่นล้านบาท และมีมติ ครม. และ นบข. ที่กำหนดว่า การจัดทำมาตรการ โครงการเพื่อสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือเกษตรกร ให้หลีกเลี่ยงการดำเนินการในลักษณะการให้เงินอุดหนุน ช่วยเหลือ ชดเชย หรือประกันราคาสินค้าเกษตรโดยตรงแก่เกษตรกร
แต่การปรับลด จะตัดหมดทันที ไม่สามารถทำได้ เพราะยังคงต้องมีช่วงเปลี่ยนผ่าน ส่วนการใช้มาตรการฝากเก็บยุ้งฉาง ที่ให้เงินค่าฝากตันละ 1,000 บาทและ 1,500 บาท สำหรับฝากเก็บกับสหกรณ์ และเก็บเอง ที่ประชุมเห็นว่า ข้าวที่ฝากเก็บ จะเป็นภาระกับรัฐบาลในอนาคต หากเกษตรกรไม่มาไถ่ถอน เพราะข้าวนาปรังส่วนใหญ่ไม่เก็บไว้นาน ไม่เหมือนข้าวนาปี หรือข้าวหอมมะลิ ที่คุณภาพดีกว่า
“การให้ความช่วยเหลือไร่ละพันในครั้งนี้ เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากราคาข้าวตกต่ำ ทั้งที่ปกติ ไม่เคยช่วยเหลือข้าวนาปรัง เพราะรัฐบาลไม่สนับสนุนการเพาะปลูกข้าวนาปรัง แต่เมื่อปลูกแล้ว ก็ต้องดูแล โดยในการดูแลครั้งนี้ มีเงื่อนไขชัดเจนว่าเกษตรกร จะต้องมีการปรับโครงสร้างการผลิต
ซึ่ง นบข. ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมากำกับดูแล มีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงพาณิชย์ร่วมกันดูแล จะผลักดันให้ไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นที่เหมาะสม ที่กรมทำอยู่ เช่น การปลูกกล้วยหอมเขียว หรือถ้ายังอยากจะปลูกข้าว ก็ต้องใช้พันธุ์ข้าวที่ดี มีผลผลิตต่อไร่สูง”นายวิทยากรกล่าว
สำหรับ ขั้นตอนการจ่ายเงินให้กับเกษตรกร จะจ่ายให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ปลูกข้าวนาปรังโดยตรง โดยที่กำหนดวงเงินไว้ 2.8 พันล้าน เพราะปี 2567 มีเกษตรกรขึ้นทะเบียนปลูกข้าวนาปรัง 3.2 แสนครัวเรือน ประมาณ 5.5 ล้านไร่ และปี 2568 มีผู้ลงทะเบียนแล้ว 2.3 แสนครัวเรือน ประมาณ 4 ล้านไร่
โดยเกษตรกรยังสามารถขึ้นทะเบียนได้จนถึงวันที่ 30 เม.ย.2568 ส่วนการแสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา จะดำเนินการให้เร็วที่สุด คาดว่าน่าจะสรุปได้ภายใน 1 สัปดาห์ เพราะต้องดำเนินการตามขั้นตอน
อย่างไรก็ตาม กรมยังจะดำเนินมาตรการอื่นๆ เพื่อช่วยผลักดันราคาข้าวเปลือกให้กับเกษตรกรต่อไป โดยการนำโรงสี ผู้ประกอบการเข้าไปเปิดจุดรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรในจังหวัดที่เป็นแหล่งเพาะปลูก และยังจะร่วมมือกับสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุง ในการเข้าไปรับซื้อข้าวจากเกษตรกร เพื่อนำมาผลิตข้าวถุง เป้าหมาย 5 แสนตัน จากนั้นจะร่วมมือกับห้างค้าส่งค้าปลีก ห้างท้องถิ่น จัดโปรโมชันลดราคาข้าวถุง เพื่อกระตุ้นการบริโภค